พระธาตุพนม
เป็นปูชนียสถานสำคัญอันเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนริมสองฝั่งโขงและประชาชนทั่วไป
พระธาตุพนม
ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒
หน้า ๓๖๘๗ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘
และกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๖ ตอนที่ ๑๖๐ หน้า ๓๒๑๗ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๒ มีพื้นที่ประมาณ ๑๗
ไร่ ๓ งาน ๕๖ ตารางวา
องค์พระธาตุพนม ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัด นครพนม สถานที่ตั้งขององค์พระธาตุเป็นเนินดินสูงกว่าบริเวณโดยรอบประมาณ ๒ เมตร เนินดินอันเป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุพนมนี้กล่าวเรียกในตำนานว่า “ภูกำพร้า” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง (ห่างประมาณ ๖๐๐ เมตร) ทิศตะวันออก
ติดถนนชยางกูร (ถนนสายนครพนม-อุบลราชธานี) ห่างจากถนนสายนี้ไปทางทิศ ตะวันออกจะพบบึงน้ำกว้างประมาณ ๓๐๐ เมตร ยาวขนานไปกับแม่น้ำโขง เรียกกันในท้องถิ่นว่า “บึงธาตุ” และเชื่อกันว่าบึงนี้ถูกขุดขึ้นในอดีตเพื่อนำเอาดิน ที่ได้มาปั้นอิฐก่อองค์พระธาตุพนมขึ้น
องค์พระธาตุพนม ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัด นครพนม สถานที่ตั้งขององค์พระธาตุเป็นเนินดินสูงกว่าบริเวณโดยรอบประมาณ ๒ เมตร เนินดินอันเป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุพนมนี้กล่าวเรียกในตำนานว่า “ภูกำพร้า” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง (ห่างประมาณ ๖๐๐ เมตร) ทิศตะวันออก
ติดถนนชยางกูร (ถนนสายนครพนม-อุบลราชธานี) ห่างจากถนนสายนี้ไปทางทิศ ตะวันออกจะพบบึงน้ำกว้างประมาณ ๓๐๐ เมตร ยาวขนานไปกับแม่น้ำโขง เรียกกันในท้องถิ่นว่า “บึงธาตุ” และเชื่อกันว่าบึงนี้ถูกขุดขึ้นในอดีตเพื่อนำเอาดิน ที่ได้มาปั้นอิฐก่อองค์พระธาตุพนมขึ้น
![]() |
http://www.nkp2day.com/องค์พระธาตุพนม-ณ-วัดพระ-2/ |
การสร้างพระธาตุพนม
ตามตำนานพระธาตุพนมกล่าวไว้ว่า
องค์พระธาตุพนมนี้สร้างครั้งแรกเมืองราว พ.ศ.๘ ขณะที่อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ กำลังเจริญรุ่งเรือง โดยเจ้าผู้ครองนครในแคว้นต่าง ๆ ทั้ง ๕ มีพญาศรีโคตรบูรณ์ เป็นต้น และพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นประมุข เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ
(กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปเถระนำมาจากอินเดียประดิษฐานไว้ข้างใน อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ตามตำนานจะกล่าวว่าพระธาตุพนมถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๘ แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีเท่าที่ปรากฏ สันนิษฐานได้ว่าองค์พระธาตุพนมน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงราวพุทธศตวรรษที่
๑๒–๑๔ หลักฐานสำคัญที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ คือ
ภาพสลักอิฐแบบโบราณที่ประดับอยู่บริเวณส่วนเรือนธาตุของ
พระธาตุพนมอันมีลักษณะรูปแบบคล้ายศิลปะทวารวดีแบบฝีมือของช่างพื้นเมือง
พระธาตุพนมอันมีลักษณะรูปแบบคล้ายศิลปะทวารวดีแบบฝีมือของช่างพื้นเมือง
องค์พระธาตุพนมได้รับการบูรณะมาหลายครั้ง
โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยของพระเจ้าโพธิศาลราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ราว พ.ศ.๒๐๗๒-๒๑๐๓)
พระองค์ได้เสด็จลงมาบูรณะและสถาปนาวัดพระธาตุพนมขึ้นเป็นพระอารามหลวงจากนั้นเป็นต้นมาจึงได้เกิดเป็นประเพณีที่ผู้ครองอาณาจักรล้านช้างในสมัยต่อ
ๆมาจะลงมาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระธาตุพนมเป็นประจำแทบทุกพระองค์
การบูรณองค์พระธาตุ
การบูรณะครั้งสำคัญที่ควรกล่าวถึงคือ
การบูรณะของท่านราชครูโพนสะเม็กจากเมืองเวียงจันทร์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๓๓-๒๒๓๕
โดยช่างจากนครเวียงจันทร์
ในการบูรณะครั้งนี้ทำให้พระธาตุพนมได้รับอิทธิพลรูปแบบส่วนยอดมาจากพระธาตุหลวงที่นครเวียงจันทร์
ซึ่งน่าจะเป็นการกำหนดรูปแบบที่แน่นอนขององค์พระธาตุพนมตั้งแต่นั้นมา
และได้กลายเป็นแบบฉบับของงานก่อสร้างองค์พระธาตุในภาคอีสานตอนบน การบูรณะปรากฏอีกครั้งในปี
พ.ศ.๒๔๔๔ พระอุมัชฌาย์ทา วิคบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์มั่น
พระอาจารย์เลา กับคณะ ได้ธุดงค์มาถึงวัดพระธาตุพนม จึงคิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์
จึงได้เชิญพระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี
ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางการช่างมาซ่อม
โดยได้ทำการกะเทาะปูนเก่าที่ชำรุดแล้วโบกใหม่ ทาสีประดับกระจก
กระเบื้องเคลือบในที่บางแห่ง และลงรักปิดทองที่ยอด การบูรณะที่สำคัญอีกครั้ง
ได้แก่ ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
รัฐมนตรีและอธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นดำเนินการ ในการบูรณะพระธาตุครั้งนี้ได้
![]() |
พระธาตุพังลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘
http://www.watthat.com/
|
ซ่อมแซมโดยเทคอนกรีตเสริมเหล็กจากส่วนเหนือฐานหรือพระธาตุชั้นที่ ๑
ขึ้นไปจนถึงยอดสุด แล้วต่อยอดให้สูงขึ้นไปอีก ๑๐ เมตร
และเพิ่มฉัตรทองคำเหนือยอดองค์พระธาตุ (เฉพาะฉัตรทองคำที่ดำเนินการสร้างใหม่แทนฉัตรองค์เก่า
สร้างแล้วเสร็จและนำไปประดิษฐานเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗)
การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ คือ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๙ ถึง เดือนมีนาคม ๒๕๒๒ กรมศิลปากรได้ดำเนินการปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมขึ้นใหม่ภายหลังที่องค์พระธาตุพังทลายล้มทั้งองค์เมื่อวันที่
๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘
๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘
![]() |
พระธาตุนมองค์เดิมก่อนพังทลาย
http://www.thatphanom.com
|
ลักษณะและที่ตั้ง
สถูปอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม
ตั้งอยู่เกาะกลางสระน้ำหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๒๐๐ เมตร และห่างจากริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวประมาณ
๒๕ๆ เมตร มีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยม สูงจากระดับพื้น ประมาณ ๑๔ เมตร
ตั้งอยู่บนฐานสูง ๖ เซนติเมตร ข้างในใช้เก็บรักษาเศษอิฐเศษปูนพระธาตุพนมองค์เดิม
ซึ่งหักพังทลายลงในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ นอกจากนี้ ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ
พระพุทธรูป อัญมณี และวัตถุมงคลอื่น ๆ เป็นจำนวนมากอีกด้วย กรุสำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมทั้งสิ่งของอันมีค่า
ได้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ส่วนกว้าง ๑.๕๐ เมตร ยาว ๒ เมตร สูง ๑.๕๐ เมตร
การดำเนินการก่อสร้าง
ก่อนอื่น ต้องย้อนไปดูเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นกับองค์พระธาตุพนมเมื่อ
๒๕ ปีล่วงแล้ว เราจึงจะรู้ที่ไปที่มาของเศษอิฐเศษปูนที่เก็บรักษาอยู่ในสถูปโดยแจ่มแจ้ง
กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๘ น.
พระธาตุพนมซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นจุดศูนย์รวมแห่งการเคารพบูชาของชาวพุทธในลุ่มแม่น้ำโขงมาช้านาน
ประมาณ ๒, ๐๐๐ กว่าปี ได้หักพังทลายลงไปทางทิศตะวันออกทั้งองค์ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากพระธาตุช่วงล่างหรือช่วงที่หนึ่งเก่าแก่และชำรุดมาก ไม่สามารถทานน้ำหนักช่วงบนไว้ได้จึงเป็นเหตุให้หักพังลงมาดังกล่าวแล้ว ทางรัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างใหม่ในปีต่อมา โดยสร้างด้วยคอนกรีตครอบฐานองค์เดิมซึ่งยังเหลืออยู่ประมาณ ๖ เมตร ก่อนจะลงมือก่อสร้าง เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรร่วมกับทางวัดพระธาตุพนม โดยขนไปเก็บไว้ที่สนามด้านตะวันออก หอพระนอนหรือหอพุทธไสยาสน์ ซึ่งอยู่นอกวิหารคตทางด้านเหนือองค์พระธาตุพนม เป็นการเก็บไว้ชั่วคราว ในขณะเดียวกันนั้นก็คัดเลือกเอาอิฐส่วนที่สมบูรณ์และมีลวดลายแยกไว้ต่างหาก อิฐจำนวนนี้ส่วนมาก ได้เก็บไว้ที่ที่วิหารคตทางทิศใต้องค์พระธาตุพนมทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างพระธาตุพนมองค์ใหม่ ต่อมาเมื่อสร้างโครงพระธาตุด้วยคอนกรีตแล้วเสร็จ ก็ทำการตบแต่งด้วยลวดลาย อิฐลวดลายที่คัดเลือกไว้ก่อนหน้านี้นั้นไม่สามารถนำไปปะติดปะต่อประกอบเป็นลวดลายได้ทั้งหมด ทำได้เป็นบางตอนที่ช่วงล่างเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะพระธาตุพนมองค์ใหม่เล็กกว่าองค์เก่า คือ ที่ช่วงล่างหรือช่วงที่หนึ่งเล็กกว่าองค์เก่าหรือองค์เดิมด้านละประมาณ ๕ เซนติเมตร อีกประการหนึ่งอิฐลวดลายที่คัดเลือกไว้นั้นมีไม่ครบ ชำรุดและหายไปก็มาก ไม่สามารถนำมาต่อกันให้เป็นลวดลายได้ อิฐลายส่วนที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรให้คนงานนำไปเก็บไว้ที่โรงเก็บพัสดุก่อสร้าง ซึ่งอยู่ด้านเหนือโรงเรียนพนมวิทยาคาร ต่อมาได้รื้อถอนโรงเก็บพัสดุก่อสร้าง ทางวัดพระธาตุพนมได้นำไปเก็บไว้ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตบูร พ.ศ. ๒๕๒๕ หลังจากสร้างพระธาตุพนมแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์เป็นเวลา ๓ ปีเศษ
ทางวัดได้ขนย้ายเศษอิฐเศษปูนของพระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งกองรวมกันอยู่ที่สนามหญ้าทางตะวันออกหอพระนอน เอาไปเก็บไว้ที่เกาะกลางสระน้ำหน้าวัดพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางวัดพระธาตุพนมได้ขุดลอกสระน้ำหน้าวัด ทางด้านใต้และด้านเหนือ ได้ตบแต่งขอบสระน้ำให้สวยงามและมั่นคงด้วยหินทรายทั้ง ๒ สระ ในปีนั้นก็ได้มีโครงการจะสร้างสถูปอิฐพระธาตุพนมด้วย แต่ไม่อาจดำเนินการได้ เพราะทุนทรัพย์ไม่พอ ส่กิวนทุนทรัพย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น ก็ได้เอาไปสร้างสิ่งที่จำเป็นกว่า ซึ่งจะต้องใช้โดยรีบด่วนเช่น เมรุเผาศพ ศาลาบำเพ็ญกุศล และกุฏิที่พักพาอาศัยของพระภิกษุสามเณรเป็นต้น แต่ได้รวบรวมเศษอิฐพระธาตุซึ่งยังกระจัดกระจายอยู่ในที่อื่นภายในวัด และที่อยู่ที่เกาะกลางสระน้ำหน้าวัดเอามากองพูนกันขึ้นเหมือนจอมปลวกสูงประมาณ ๕ เมตร เพื่อเตรียมก่อสร้างสถูปครอบภายหลัง ได้ใช้อิฐก่อสร้างเป็นตัวอักษรไว้ที่ขอบสระ เพื่อให้คนที่เดินทางผ่านไปมาได้รู้ว่าเรามีโครงการก่อสร้างสถูป เพื่อเก็บรักษาอิฐพระธาตุพนมองค์เดิมไว้ไม่ให้สูญหาย ตักอักษรที่ขอบสระมีอยู่ด้วยกัน ๓ ด้านคือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้ มีใจความวว่า “ สถูปอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม” นอกจากนี้ ยังใช้อิฐก่อเป็นตัวเลขบอก พ.ศ. ที่ขุดลอกสระว่า “ ๒๕๓๕” อีกด้วย
จาก พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นเวลา ๗ ปี จึงได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นองค์สถูปขึ้น คุณปัฐวาท สุขศรีวงศ์ กรุงเทพมหานคร และคณะอันประกอบด้วย คุณศิริธัช โรจนพฤกษ์ พล.โท ประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นต้น มีศรัทธาเป็นเจ้าภาพบริจาคทุนทรัพย์ในการดำเนินการก่อสร้างทั้งหมดจำนวน ๒, ๖๒๐, ๐๐๐ (สองล้านหกแสนสองหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดในการก่อสร้างสถูกมีดังนี้ พระครูพนมธรรมโฆสิต (ดร. พระมหาสม สุมโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร โดยการอนุมัติของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร คือ พระธรรมปริยัติมุนี เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง
โดยให้มีรูปทรงคล้ายกันกับองค์พระธาตุพนมยุคแรก คือ ยุค พ.ศ. ๘ หรือที่เรียกกันว่าพระธาตุพนมช่วงแรก ได้ว่าจ้างคนงานในถิ่นนี้มาทำจำนวน ๓๐ คน ให้นายสว่าง ต้นเงิน เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลพระครูพนมธรรมโฆสิต เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
ประมาณ ๒, ๐๐๐ กว่าปี ได้หักพังทลายลงไปทางทิศตะวันออกทั้งองค์ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากพระธาตุช่วงล่างหรือช่วงที่หนึ่งเก่าแก่และชำรุดมาก ไม่สามารถทานน้ำหนักช่วงบนไว้ได้จึงเป็นเหตุให้หักพังลงมาดังกล่าวแล้ว ทางรัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างใหม่ในปีต่อมา โดยสร้างด้วยคอนกรีตครอบฐานองค์เดิมซึ่งยังเหลืออยู่ประมาณ ๖ เมตร ก่อนจะลงมือก่อสร้าง เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรร่วมกับทางวัดพระธาตุพนม โดยขนไปเก็บไว้ที่สนามด้านตะวันออก หอพระนอนหรือหอพุทธไสยาสน์ ซึ่งอยู่นอกวิหารคตทางด้านเหนือองค์พระธาตุพนม เป็นการเก็บไว้ชั่วคราว ในขณะเดียวกันนั้นก็คัดเลือกเอาอิฐส่วนที่สมบูรณ์และมีลวดลายแยกไว้ต่างหาก อิฐจำนวนนี้ส่วนมาก ได้เก็บไว้ที่ที่วิหารคตทางทิศใต้องค์พระธาตุพนมทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างพระธาตุพนมองค์ใหม่ ต่อมาเมื่อสร้างโครงพระธาตุด้วยคอนกรีตแล้วเสร็จ ก็ทำการตบแต่งด้วยลวดลาย อิฐลวดลายที่คัดเลือกไว้ก่อนหน้านี้นั้นไม่สามารถนำไปปะติดปะต่อประกอบเป็นลวดลายได้ทั้งหมด ทำได้เป็นบางตอนที่ช่วงล่างเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะพระธาตุพนมองค์ใหม่เล็กกว่าองค์เก่า คือ ที่ช่วงล่างหรือช่วงที่หนึ่งเล็กกว่าองค์เก่าหรือองค์เดิมด้านละประมาณ ๕ เซนติเมตร อีกประการหนึ่งอิฐลวดลายที่คัดเลือกไว้นั้นมีไม่ครบ ชำรุดและหายไปก็มาก ไม่สามารถนำมาต่อกันให้เป็นลวดลายได้ อิฐลายส่วนที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรให้คนงานนำไปเก็บไว้ที่โรงเก็บพัสดุก่อสร้าง ซึ่งอยู่ด้านเหนือโรงเรียนพนมวิทยาคาร ต่อมาได้รื้อถอนโรงเก็บพัสดุก่อสร้าง ทางวัดพระธาตุพนมได้นำไปเก็บไว้ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตบูร พ.ศ. ๒๕๒๕ หลังจากสร้างพระธาตุพนมแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์เป็นเวลา ๓ ปีเศษ
ทางวัดได้ขนย้ายเศษอิฐเศษปูนของพระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งกองรวมกันอยู่ที่สนามหญ้าทางตะวันออกหอพระนอน เอาไปเก็บไว้ที่เกาะกลางสระน้ำหน้าวัดพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางวัดพระธาตุพนมได้ขุดลอกสระน้ำหน้าวัด ทางด้านใต้และด้านเหนือ ได้ตบแต่งขอบสระน้ำให้สวยงามและมั่นคงด้วยหินทรายทั้ง ๒ สระ ในปีนั้นก็ได้มีโครงการจะสร้างสถูปอิฐพระธาตุพนมด้วย แต่ไม่อาจดำเนินการได้ เพราะทุนทรัพย์ไม่พอ ส่กิวนทุนทรัพย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น ก็ได้เอาไปสร้างสิ่งที่จำเป็นกว่า ซึ่งจะต้องใช้โดยรีบด่วนเช่น เมรุเผาศพ ศาลาบำเพ็ญกุศล และกุฏิที่พักพาอาศัยของพระภิกษุสามเณรเป็นต้น แต่ได้รวบรวมเศษอิฐพระธาตุซึ่งยังกระจัดกระจายอยู่ในที่อื่นภายในวัด และที่อยู่ที่เกาะกลางสระน้ำหน้าวัดเอามากองพูนกันขึ้นเหมือนจอมปลวกสูงประมาณ ๕ เมตร เพื่อเตรียมก่อสร้างสถูปครอบภายหลัง ได้ใช้อิฐก่อสร้างเป็นตัวอักษรไว้ที่ขอบสระ เพื่อให้คนที่เดินทางผ่านไปมาได้รู้ว่าเรามีโครงการก่อสร้างสถูป เพื่อเก็บรักษาอิฐพระธาตุพนมองค์เดิมไว้ไม่ให้สูญหาย ตักอักษรที่ขอบสระมีอยู่ด้วยกัน ๓ ด้านคือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้ มีใจความวว่า “ สถูปอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม” นอกจากนี้ ยังใช้อิฐก่อเป็นตัวเลขบอก พ.ศ. ที่ขุดลอกสระว่า “ ๒๕๓๕” อีกด้วย
จาก พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นเวลา ๗ ปี จึงได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นองค์สถูปขึ้น คุณปัฐวาท สุขศรีวงศ์ กรุงเทพมหานคร และคณะอันประกอบด้วย คุณศิริธัช โรจนพฤกษ์ พล.โท ประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นต้น มีศรัทธาเป็นเจ้าภาพบริจาคทุนทรัพย์ในการดำเนินการก่อสร้างทั้งหมดจำนวน ๒, ๖๒๐, ๐๐๐ (สองล้านหกแสนสองหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดในการก่อสร้างสถูกมีดังนี้ พระครูพนมธรรมโฆสิต (ดร. พระมหาสม สุมโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร โดยการอนุมัติของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร คือ พระธรรมปริยัติมุนี เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง
โดยให้มีรูปทรงคล้ายกันกับองค์พระธาตุพนมยุคแรก คือ ยุค พ.ศ. ๘ หรือที่เรียกกันว่าพระธาตุพนมช่วงแรก ได้ว่าจ้างคนงานในถิ่นนี้มาทำจำนวน ๓๐ คน ให้นายสว่าง ต้นเงิน เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลพระครูพนมธรรมโฆสิต เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ก่อนลงมือทำการก่อสร้าง
ได้นิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป มาสวดพุทธมนต์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์
และหว่านหินลูกกรวดและทราย ซึ่งทำการปลุกเสกดีแล้ว ในจุดที่จะทำการก่อสร้างฐานสถูปสูง ๖๐เซนติเมตร
กว้างด้านละ ๑๖ เมตร องค์สถูปกว้างด้านละ ๑๒ เมตร เทเสาด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน
๑๒ ต้น มีคานยึด
๔ แห่ง เทคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นผนังด้านในสุด สูง ๘ เมตร ใช้อิฐใหม่ก่อทาบผนังคอนกรีต
ใช้อิฐเก่าสลับอิฐใหม่ก่อทาบอีกชั้นหนึ่งระหว่างหนังอิฐใหม่และผนังอิฐเก่าผสมอิฐใหม่
ได้เทคอนกรีตเสริมเหล็กเชื่อมหนา ๑๐
เซนติเมตร สรุปแล้วผนังสถูปมี
๔ ชั้นคือ
๑. ด้านในคอนกรีตเสรอมเหล็ก
๑. ด้านในคอนกรีตเสรอมเหล็ก
๒. อิฐใหม่ก่อเรียงกันขึ้นตามแนวผนังคอนกรีต
๓. คอนกรีตเสริมเหล็กเชื่อมระหว่างผนังอิฐเก่าและอิฐใหม่
๔. อิฐเก่าและอิฐใหม่เป็นผนังชั้นนอกสุด
ศิลปะและสถาปัตยกรรม
สำหรับอิฐลวดลายองค์พระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตรบูรนั้นได้นำมาก่อติดผนังด้านนอกทั้ง ๔ ด้าน เนื่องจากอิฐลวดลายที่คัดเลือกแล้วนั้นมีเหลืออยู่ไม่มาก ที่ชำรุดและสูญหายไปก็มาก จึงไม่สามารถประกอบเป็นลวดลายที่สมบูรณ์ได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ดี อิฐลวดลายซึ่งมีอยู่ขณะนี้ ก็พอถือเอาเป็นข้อมูลในการศึกษาด้านโบราณคดีได้ เมื่อเทคอนกรีตและก่ออิฐสูง ๘ เมตรแล้ว จากนั้นก็ได้ก่อหลังคามุงไว้สูงประมาณ ๖ เมตรสถูปรวมสูง ๑๔ เมตร หรือจะเรียกว่า “ อูบมุง) ก็ได้ไม่ผิด หลังคามีลักษณะกลมเหมือนโอคว่ำ ต่างแต่ยอดสุดมีรูปปั้นดอกบัว ๕ ดอกเท่านั้น รูปดอกบัวปั้นที่หลังคาทั้ง ๕ ดอกนั้น ๔ ดอกเป็นดอกบัวที่บานแล้ว อีกดอกยังตูมอยู่ ยังไม่บาน ซึ่งก็มีความหมายดังนี้ ในภัททกัปนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ องค์ ๔ องค์ตรัสรู้ไปแล้ว ปละปรินิพพานไปแล้ว อันได้แก่ พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสปะ และพระโคตมะ เหมือนดอกบัวที่บ้านแล้วและร่วงโรยไปแล้ว อีกหนึ่งองค์ จะมาตรัสรู้ในภายหน้า ในปลายภัททกัปนี้ ซึ่งได้แก่ พระศรีอริยเมตไตย์ เหมือนดอกบัวที่ยังตูมอยู่แต่จะบานในภายภาคหน้า
สำหรับอิฐลวดลายองค์พระธาตุพนมองค์เดิม ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตรบูรนั้นได้นำมาก่อติดผนังด้านนอกทั้ง ๔ ด้าน เนื่องจากอิฐลวดลายที่คัดเลือกแล้วนั้นมีเหลืออยู่ไม่มาก ที่ชำรุดและสูญหายไปก็มาก จึงไม่สามารถประกอบเป็นลวดลายที่สมบูรณ์ได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ดี อิฐลวดลายซึ่งมีอยู่ขณะนี้ ก็พอถือเอาเป็นข้อมูลในการศึกษาด้านโบราณคดีได้ เมื่อเทคอนกรีตและก่ออิฐสูง ๘ เมตรแล้ว จากนั้นก็ได้ก่อหลังคามุงไว้สูงประมาณ ๖ เมตรสถูปรวมสูง ๑๔ เมตร หรือจะเรียกว่า “ อูบมุง) ก็ได้ไม่ผิด หลังคามีลักษณะกลมเหมือนโอคว่ำ ต่างแต่ยอดสุดมีรูปปั้นดอกบัว ๕ ดอกเท่านั้น รูปดอกบัวปั้นที่หลังคาทั้ง ๕ ดอกนั้น ๔ ดอกเป็นดอกบัวที่บานแล้ว อีกดอกยังตูมอยู่ ยังไม่บาน ซึ่งก็มีความหมายดังนี้ ในภัททกัปนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ องค์ ๔ องค์ตรัสรู้ไปแล้ว ปละปรินิพพานไปแล้ว อันได้แก่ พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสปะ และพระโคตมะ เหมือนดอกบัวที่บ้านแล้วและร่วงโรยไปแล้ว อีกหนึ่งองค์ จะมาตรัสรู้ในภายหน้า ในปลายภัททกัปนี้ ซึ่งได้แก่ พระศรีอริยเมตไตย์ เหมือนดอกบัวที่ยังตูมอยู่แต่จะบานในภายภาคหน้า
![]() |
พระธาตุพนมองค์เดิมที่อยู่เกาะกลางสระน้ำ
http://www.watpamahachai.net/Document12_1.htm
|
พระธาตุพนม เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนายุคแรกๆ
ที่แพร่เข้ามาในบริเวณกลุ่มน้ำโขง และมีนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า
พระธาตุพนมเป็นพระธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์สำคัญของลุ่มน้ำโขง ดังนั้นในส่วนนี้
เป็นการประมวลภาพพระธาตุพนมในแง่งานศิลปะสถาปัตยกรรมที่ปรากฏอยู่บนองค์พระธาตุพนม
รูปทรงดั้งเดิมของพระธาตุพนม
ดร.ประภัสสร์
ชูวิเชียรภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายในหนังสือ
๕ มหาเจดีย์สยาม จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส ไว้ว่า “ รูปทรงดั้งเดิมของพระธาตุพนมอาจเป็น
ปราสาทเขมร-จาม กว่าที่รูปทรงขององค์พระธาตุพนมจะเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
องค์พระธาตุพนมได้ถูกสร้างเสริมและต่อเติมมาหลายครั้งหลายสมัย
โดยนักวิชาการสันนิษฐานว่ารูปแบบดั้งเดิมเมื่อแรกสร้างน่าจะมีรูปทรงปราสาทเขมร ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อนเมืองพระนคร มีชื่อเรียกว่าแบบ ไพรกเมง-กำพงพระ เนื่องจากปราสาทที่สร้างในช่วงสมัยนี้มักทำเรือธาตุเป็นห้อง ก่ออิฐเรียบ มีการประดับด้วยเสากลมที่วางคั่นอยู่เป็นระยะ ๆ บัวหัวเสาทำเป็นรูปกลม ซึ่งเหมือนกับที่พบในส่วนเรือนธาตุขององค์พระธาตุพนมนั่นเอง หรือไม่เช่นนั้นก็อาจมีรูปร่างคล้ายกับปราสาทในศิลปะจาม ที่สร้างในสมัยฮั่วล่าย (Hoa-Lai) และ ดงเดือง (Doug Doung) ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศเวียดนาม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ คือ กว่าพันปีมาแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากเสาติดผนังขององค์พระธาตุพนมมีแถบลวดลายประดับอยู่ตรงกลางเสา เหมือนกับที่พบตามปราสาทในศิลปะจามเป็นอย่างมาก การที่พระธาตุพนมอาจเคยมีรูปแบบคล้ายคลึงกับปราสาทจามนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอย่างใดเลย เนื่องจากที่ตั้งของพระธาตุพนมอยู่บนเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างชุมชนโบราณในกลุ่มน้ำโขงตอนกลางของลาวกับช่องเขาที่ออกไปยังอาณาจักรจามปาในประเทศเวียดนามได้ ดังนั้นในบริเวณนี้ จึงอาจมีการแลกเปลี่ยนหรือรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากศิลปะจามได้ไม่ยากนัก” ปราสาทฮั่วลายหลังเหนือ ศิลปะจาม
โดยนักวิชาการสันนิษฐานว่ารูปแบบดั้งเดิมเมื่อแรกสร้างน่าจะมีรูปทรงปราสาทเขมร ที่สร้างขึ้นในสมัยก่อนเมืองพระนคร มีชื่อเรียกว่าแบบ ไพรกเมง-กำพงพระ เนื่องจากปราสาทที่สร้างในช่วงสมัยนี้มักทำเรือธาตุเป็นห้อง ก่ออิฐเรียบ มีการประดับด้วยเสากลมที่วางคั่นอยู่เป็นระยะ ๆ บัวหัวเสาทำเป็นรูปกลม ซึ่งเหมือนกับที่พบในส่วนเรือนธาตุขององค์พระธาตุพนมนั่นเอง หรือไม่เช่นนั้นก็อาจมีรูปร่างคล้ายกับปราสาทในศิลปะจาม ที่สร้างในสมัยฮั่วล่าย (Hoa-Lai) และ ดงเดือง (Doug Doung) ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศเวียดนาม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ คือ กว่าพันปีมาแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากเสาติดผนังขององค์พระธาตุพนมมีแถบลวดลายประดับอยู่ตรงกลางเสา เหมือนกับที่พบตามปราสาทในศิลปะจามเป็นอย่างมาก การที่พระธาตุพนมอาจเคยมีรูปแบบคล้ายคลึงกับปราสาทจามนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอย่างใดเลย เนื่องจากที่ตั้งของพระธาตุพนมอยู่บนเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างชุมชนโบราณในกลุ่มน้ำโขงตอนกลางของลาวกับช่องเขาที่ออกไปยังอาณาจักรจามปาในประเทศเวียดนามได้ ดังนั้นในบริเวณนี้ จึงอาจมีการแลกเปลี่ยนหรือรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากศิลปะจามได้ไม่ยากนัก” ปราสาทฮั่วลายหลังเหนือ ศิลปะจาม
อ้างอิง
เทพโมลี, พระ .ประวัติย่อพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : เฟื่องอักษร,
2516
https://missmamyna 1.wordpress.com/ พระธาตุพนมองค์เดิม
http://www.finearts.go.th/fad10/parameters/km/item/พระธาตุพนม.html
http://www.watpamahachai.net/Document12_1.htm
http://www.watthat.com/