ในช่วงปี พ.ศ. 2369
– 2371 เมืองเวียงจันทน์ในขณะมีเจ้าอนุวงศ์ปกครองอยู่
เห็นว่าทางกรุงเทพฯมีศึกติดพันหลายด้าน
และเหล่าแม่ทัพนายกองล้วนแต่เป็นคนรุ่นใหม่ไม่เก่งกล้าสามารถเหมือนสมัยก่อน
ในช่วงเดือนตุลาคม 2369 จึงประกาศอิสรภาพหรือแข็งเมือง
และยกพลเข้าตีกรุงเทพมหานครหวังจะยึดเอาเมืองให้ได้ โดยการชักชวนเกลี้ยกล่อมและรวบรวมหัวเมืองต่างๆให้ร่วมมือกันโจมตีกรุงเทพมหานคร
โดยเฉพาะหัวเมืองทางภาคอีสานเจ้าอนุวงศ์ได้ส่งขุนนางและทหารเข้าเกลี้ยกล่อมให้เข้าร่วมโจมตีกรุงเทพมหานครด้วย
โดยมี 2 เมืองคือเมืองนครพนมและเมืองสี่มุมเข้าร่วมมือด้วยอย่างแข็งขัน
อีก 9 เมืองเข้าร่วมอย่างไม่เต็มใจคือ ขุขันธ์ สระบุรี
หล่มสัก ชนบท ยโสธร สุรินทร์ ปักธงชัย ขอนแก่น สกลนคร และอีก 6 เมืองไม่เข้าร่วมคือ เขมราฐ กาฬสินธุ์ ภูเขียว ภูเวียง ชัยภูมิ และหล่มสัก
เจ้าเมืองเหล่านี้ที่ไม่เข้าร่วมถูกเจ้าอนุวงศ์สั่งประหารชีวิตทั้งหมด ภายหลังเจ้าเมืองขุขันธุ์ก็ถูกสั่งประหารด้วยเช่นกัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมาหลังจากประกาศการกู้ชาติได้ 5 เดือนเจ้าอนุวงศ์บุกยึดเมืองโคราช
และเคลื่อนกองกำลังต่อไปจนถึงสระบุรี
ทางกรุงเทพมหานครจึงทราบข่าวเจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏ
หลังจากที่ทางกรุงเทพฯทราบข่าวเจ้าอนุวงศ์ตั้งตัวเป็นกบฎแล้ว
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าให้จัดกองทัพออกปราบ
เจ้าอนุวงศ์ทราบข่าวว่าทางกรุงเทพฯไหวตัวและยกทัพมาปราบจึงได้ถอยทัพจากสระบุรี
กวาดต้อนไพร่พลกลับเวียงจันทน์โดยวางกำลังเอาไว้ตีประทะตลอดแนวทาง
ด่านยุทธศาสตร์สำคัญก่อนที่จะถึงเวียงจันทน์คือเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน(หนองบัวลำภู)
ส่วนทัพหลวงของกรมพระราชวังบวรก็ตามตีจนมาถึงเมืองภูเวียงเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิที่ดี
จึงได้หยุดทัพหลวงไว้ที่นี่ และส่งกองกำลังเข้าตีเมืองหนองบัวลำภู
ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ได้แต่งตั้งให้เจ้าเมืองสี่มุมพระยานรินทร์สงครามซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเจ้าอนุวงศ์เป็นแม่ทัพอยู่รั้งเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน
ส่วนตัวพระองศ์เองได้นำไพร่พลเดินทางกลับไปยังเมืองเวียงจันทน์
สมรภูมิแห่งนี้เป็นสมรภูมิที่ต่อสู้กันดุเดือดที่สุด
อันเนื่องมาจากพระยานรินทร์สงครามเป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสามารถ มีวิชาคาถาอาคม
และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ต่อสู้จนเหลือทหารเพียง 6 คน
และสุดท้ายก็พลาดท่าหล่นลงมาจากหลังม้าจึงถูกทหารไทยจับตัวส่งกรมพระราชวังบวรฯที่ทัพหลวง
เมืองภูเวียง กรมพระราชวังบวรฯทราบว่าพระยานรินทร์สงครามเป็นคนมีความสามารถในการสู้รบจึงคิดจะชุบเลี้ยงไว้
แต่พระยานรินทร์สงครามไม่เพียงแต่ไม่สนใจใยดี และยังตอบกลับมาว่า “เมื่อเกิดเป็นชายชาติทหาร ถ้าแม้นเสียทีก็จะขอยอมตายไม่ยอมอยู่เป็นคน
ขอให้ท่านฆ่าเสียให้เป็นผียังดีเสียดีกว่าอยู่เป็นคน” ดังนั้นกรมพระราชวังบวรจึงสั่งประหารชีวิต
พระยานรินทร์สงคราม แต่ด้วยความที่พระยานรินทร์เป็นคนที่มีคาถาอาคมแก่กล้า ฟัน แทง
ไม่เข้า กรมพระราชวังบวรจึงให้เอาตัวไปผูกติดกับต้นไม้และใช้ช้างแทงจนตาย
ณ.ที่ต้นยางใหญ่ใกล้กับหนองน้ำ “บุ่งกกแสง” ปัจจุบันอยู่บริเวณทางโค้งห่างจากศาลเจ้าจอมไปประมาณ 100 เมตร ต่อมามีการสร้างศาลขึ้นเพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญ
และความเป็นจอมคนของพระยานรินทร์สงคราม เรียกศาลเจ้าจอม
หรือปู่จอมที่คนภูเวียงและประชาชนทั่วไปให้นับถือสักการบูชา
ตั้งอยู่บริเวณช่องเขาทางเข้าไปอำเภอเวียงเก่าบริเวณใกล้เคียงกับที่ซึ่งพระยานรินทร์สงครามถูกประหารชีวิต
หลังจากเสร็จสิ้นศึกเจ้าอนุวงศ์แล้วเมืองสี่มุมก็กลับไปขึ้นกับสยามเหมือนเดิม
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ยังไม่มีการจัดตั้งจังหวัดขึ้นเป็นทางการ
บริเวณจังหวัดชัยภูมิประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ 3 เมือง คือ เมืองชัยภูมิ, เมืองภูเขียว และเมืองสี่มุม (จัตุรัส) ในปี พ.ศ. 2440
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองราชอาณาจักร โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล
ให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทยหน่วยงานเดียว เมืองในจังหวัดชัยภูมิ
จึงเข้าอยู่ในมณฑลนครราชสีมา ต่อมาในสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475
มีการเปลี่ยนแปลงรูปการปกครองประเทศครั้งใหญ่
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตย
โดยพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476
ได้ยกเลิกเขตการปกครองแบบ “เมือง” ทั่วราชอาณาจักร แล้วตั้งขึ้นเป็น “จังหวัด” แทน
เมืองชัยภูมิ, เมืองภูเขียว และเมืองสี่มุม (จัตุรัส)
จึงรวมกันกลายเป็นจังหวัดชัยภูมิ
โดยใช้บริเวณเมืองชัยภูมิจัดตั้งเป็นอำเภอเมืองชัยภูมิยกฐานะเป็นศูนย์กลางของจังหวัด
“เมืองสี่มุม” เจ้าเมืองคนแรกคือ
“พระนรินทร์สงคราม” มีชื่อเดิมว่า
“คำ”โดยเมืองสี่มุมมีเจ้าเมืองปกครองสืบต่อกันมาตามลำดับ ดังนี้
1. พระนรินทร์สงคราม (อาจารย์คำ)
2. พระยานรินทร์สงคราม (2) หาหลักฐานชื่อเดิมไม่ได้ จึงใส่หมายเลขแทน
3. พระยานรินทร์สงคราม (3)
4. พระยานรินทร์สงคราม (4)
5. หลวงยกบัตรเสา
(เสียชีวิตก่อนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตราตั้งเจ้าเมือง)
6. พระยานรินทร์สงคราม (บุญเฮ้า)
7. พระยานรินทร์สงคราม (ทองดี)
เมืองสี่มุมก่อนที่จะมาตั้งอยู่ที่อำเภอจัตุรัสปัจจุบันนี้มีการย้ายเมืองหลายครั้ง
แต่ถึงจะย้ายไปอยู่ที่ใดก็ยังใช้ชื่อเมืองสี่มุมเหมือนเดิม มีการย้าย ดังนี้
ครั้งที่ 1 ในสมัยพระยานรินทร์สงคราม ย้ายจากที่ตั้งเดิมบ้านสี่มุม
(สระสี่เหลี่ยม) มาตั้งบริเวณที่เป็นบ้านหนองบัวใหญ่ ตำบลหนองบัวใหญ่ อำเภอจัตุรัส
ในปัจจุบันนี้ ครั้งที่ 2 ในสมัยพระยานรินทร์สงคราม (บุญเฮ้า) ย้ายจากเมืองสี่มุม
(หนองบัวใหญ่) มาตั้งที่บ้านกอกจนถึงปัจจุบันที่ตั้งเมืองอยู่ที่บริเวณหมู่ที่ 1
ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส ซึ่งที่ตั้งของอำเภอจัตุรัสนับถึงปัจจุบันก่อตั้งมาแล้ว
249 ปี
ในสมัยพระยานรินทร์สงคราม (ทองดี) เป็นเจ้าเมือง
ในปี พ.ศ. 2440 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศใหม่จัดเมืองต่าง ๆ เป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ
ตำบล และหมู่บ้าน เมืองสี่มุมจึงถูกยุบและจัดตั้งเป็นอำเภอขึ้นมาแทนชื่อ
“อำเภอจัตุรัส” ส่วนเจ้าเมืองก็เปลี่ยนเป็นนายอำเภอโดยให้พระยานรินทร์สงคราม
(ทองดี) เป็นนายอำเภอ นับเป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอจัตุรัสตั้งแต่นั้นมา
อำเภอจัตุรัสในสมัยนั้นมีพื้นที่อาณาเขตกว้างขวางมาก คือ มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 6
อำเภอในปัจจุบัน ต่อมาทางราชการได้แบ่งแยกพื้นที่ของอำเภอออกเป็นอำเภอต่าง ๆ ดังนี้
1. อำเภอบำเหน็จณรงค์ แยกพื้นที่และการปกครองออกจากอำเภอจัตุรัส จำนวนเนื้อที่ 1,435.904
ตารางกิโลเมตร เมื่อ พ.ศ. 2486
2.อำเภอเทพสถิต แยกพื้นที่และการปกครองออกจากอำเภอบำเหน็จณรงค์
ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของอำเภอจัตุรัส จำนวนเนื้อที่ 875.604 ตารางกิโลเมตร
เมื่อ พ.ศ. 2519
3.อำเภอหนองบัวระเหว แยกพื้นที่และการปกครองออกจากอำเภอจัตุรัส จำนวน 2 ตำบล
(ตำบลหนองบัวระเหวและตำบลวังตะเฆ่) เนื้อที่ 841.782 ตารางกิโลเมตร
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2521
4.อำเภอเนินสง่า แยกพื้นที่และการปกครองออกจากอำเภอจัตุรัส จำนวน 4 ตำบล
(ตำบลหนองฉิม ตำบลกะฮาด ตำบลตาเนิน และตำบลรังงาม) เนื้อที่ 222.03 ตารางกิโลเมตร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2535
5.อำเภอซับใหญ่ แยกพื้นที่และการปกครองออกจากอำเภอจัตุรัส จำนวน 3 ตำบล
(ตำบลซับใหญ่ ตำบลท่ากูบ และตำบลตะโกทอง) เนื้อที่ 255 ตารางกิโลเมตร
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
6.อำเภอจัตุรัส
ปัจจุบันเหลือจำนวนเนื้อที่ 690 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 431,250
ไร่ แบ่งการปกครองออกเป็น 9 ตำบล 119 หมู่บ้าน
อ้างอิง
https://www.silpa-mag.com
https://th.wikipedia.org/wiki/อำเภอจัตุรัส
https://sites.google.com/site/wittayasportman/prawati-khoch-chi-ko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น